โนวัค ยอโควิช นักเทนนิสมือหนึ่งของโลก ยังคงโชว์ฟอร์มที่สดใสอย่างต่อเนื่องสำหรับปี 2016 ด้วยชัยชนะเหนือ แอนดี้ มาร์รี่ย์ อดีตแชมป์รายการ มูตัว มาดริด โอเพ่น ไปในรอบชิงชนะเลิศ

นักหวดเลือดเซิร์บคว้าแชมป์มาได้ 6 รายการแล้วตั้งแต่เข้าปีนี้ ได้แก่ มูตัว มาดริด โอเพ่น, การ์ตา โอเพ่น, อินเดียน เวลส์, ไมอามี่ โอเพ่น และออสเตรเลีย โอเพ่น ที่เขาเอาชนะ มาร์รี่ ในรอบชิงดำและซิวแชมป์แกรนด์สแลมแรกของปีมา

การแพ้ให้แก่ ยอโควิช ในรอบชิงชนะเลิศ หมายถึงการที่ มาร์รี่ย์ หล่นลงไปอยู่อันดับที่ 3 ของโลก โดยมี โรเจอร์ เฟเดอร์เรอร์ อยู่ในอันดับ 2 ยอโควิชใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงกว่าในการแข่งที่มาดริด เพื่อโค่นนักหวดชาวสก็อตลงด้วย 6 – 2 3 – 6 และ 6 – 3 ซึ่งถือเป็นชัยชนะเหนือนักหวดท็อปเทนของโลกติดต่อกันเป็นครั้งที่ 15 แล้ว

ตลอดอาชีพนักหวด ยอโควิช คว้าแชมป์มาสเตอร์ซีรี่ส์เป็นครั้งที่ 29 แล้ว ด้วยวัย 28 ปีในตอนนี้ เขาคว้าชัยมาได้ 10 จาก 14 รายการหลังสุด

การคุมเกมที่ทรงพลังในแมตช์ที่พบกับ มาร์รี่ย์ ยิ่งพิสูจน์ให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น หากเทียบสถิติการเจอกันของทั้งคู่จะอยู่ที่ 23 – 9 ซึ่งแร็กเกตเซิร์บเป็นต่อกว่า โดยที่ มาร์รี่ เคยชนะเพียงครั้งเดียวในการพบกัน 13 ครั้งหลังสุดเท่านั้น

ยอโควิช โต้กลับลูกเสริฟของ มาร์รี่ย์ ไปได้ 3 ครั้งในเซตแรก ส่งผลให้เขาเอาชนะไปก่อนในเซตเปิดสนาม แต่ มาร์รี่ย์ ก็โต้กลับได้ดี และเอาชนะมือวางอันดับ 1 ของโลกไปได้ 1 เซต ซึ่งเป็นเพียงเซตเดียวที่ ยอโควิช ฟอร์มตกปล่อยให้โดนทิ้งห่างไปได้ในรายการนี้

ยอโควิช รู้ทางแก้สถานการณ์ของเขา แต่ มาร์รี่ย์ ก็โต้กลับและทำเบรกพอยท์ได้เยี่ยมช่วงเกมท้ายๆของเซตที่ 3 จนกระทั่งมือวางอันดับ 1 ของรายการเอาชนะแมตช์นี้มาได้ และได้รับการจารึกชัยชนะลงในหน้าประวัติศาสตร์ของเขา ก่อนที่จะลงหวดอีกครั้งเดือนนี้ในศึก เฟร้นช์ โอเพ่น

“เป็นแมตช์ที่ยอดเยี่ยม ที่ซึ่งผมได้ลงเล่น” แชมป์รายล่าสุดของรายการกล่าว “ผมยินดีกับแอนดี้ในแมตช์ใหญ่นี้ด้วย มันเป็นการตัดสินกันด้วยคะแนนไม่กี่คะแนนในตอนจบ”

“ผมก็ไม่รู้ว่าหาทางออกให้ตัวเองได้ยังไง แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณต้องลงแข่งกับหนึ่งในนักเทนนิสที่เก่งที่สุดในโลก ผมก็แค่มีความสุขที่ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปเด้”

หาก ยอโควิช คว้าแชมป์ เฟร้นช์ โอเพ่น ได้เป็นครั้งแรกในอาชีพนักหวดของเขา จ่าย 1.75 หาก มาร์รี่ย์ หรือ เฟเดอร์เรอร์ พลิกคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการนี้ที่คอร์ทดินในกรุงปารีสได้ จ่าย 9.50 และ 23.00 ตามลำดับ