การแข่งขันในกอล์ฟ ที่เล่นส่วนใหญ่จะเป็นจำนวนต่ำสุดของการตี หรือ สโตรค โดยบุคคล ซึ่งเป็นที่รู้จักคือ การเล่นสโตรค หรือ คะแนนต่ำสุดในแต่ละหลุม ที่สมบูรณ์โดยบุคคลหรือทีม อย่างที่แรกว่า การจับคู่เล่น หรือ แมตช์เพลย์

การเล่นในเกม

สิ่งสำคัญในการเล่นกอล์ฟคือการรู้วิธีการเล่นกอล์ฟ ทุก ๆ รอบกอล์ฟจะขึ้นอยู่กับจำนวนการเล่นของหลุมตามลำดับ โดย”รอบ” คือ ทำหลักขึ้นจาก 18 หลุมที่มีการเล่น ตามที่กำหนดโดยรูปแบบของเลย์เอาท์ ในหลักสูตรมาตรฐาน 18 หลุม ซึ่งแต่ละหลุมมีการเล่นครั้งเดียวในรอบนั้น และในหลักสูตร 9 เก้าหลุม,ผู้เล่นอาจเล่น “เกมสั้น” ซึ่งการเล่นแต่ละหลุมในครั้งเดียวหรือ “เต็มรอบ” โดยการเล่นแต่ละหลุมสองครั้ง

การเล่นหลุมในกอล์ฟนั้นจะเริ่มโดยการวางลูก และตีด้วยไม้กอล์ฟบนพื้นดิน โดยมี ที เป็นตัววางลูกกอล์ฟให้อยู่เหนือสนามหญ้าเล็กน้อย (ที่เรียกว่าทีบ๊อก หรือ ทีเฉยๆ ) เมื่อตีครั้งแรกไปยัง ต้องตีให้ลูกไปในระยะไกล เพื่อให้ถึงหลุม (ปกติมากกว่า 225 หลา) การตีแบบนี้มักจะเรียกว่า “ไดรฟ์ ” .” โดยหลุมใกล้อาจจะเริ่มต้นกับไม้อื่น ๆ เช่นไม้ที่มีหมายเลขที่สูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำจากไม้หรือเหล็ก

เมื่อลูกมาถึงส่วนที่เหลือ นักกอล์ฟอาจต้องตีอีกหลายครั้ง งเท่าที่จำเป็น โดยอาจจะใช้หลายวิธีการที่รู้กันในการ “เลย์ –อัพ” “แอ็ฟโฟรช”, “พิทช์” หรือ “ชิป” จนกว่าลูก จะขึ้นไปบนกรีน และจากนั้นจะเป็นการ “พัต” ลูกให้ลงในหลุม

หลังจากตอบคำถามว่ากอล์ฟคืออะไร และ กอล์ฟเล่นอย่างไรแล้ว ให้เราเจาะลึกเข้าไปใน หัวข้อ ของพื้นฐานกอล์ฟในหัวข้อต่อไป

การทำคะแนน

คะแนนของนักกอล์ฟ มักจะเป็นความแตกต่างระหว่างจำนวนของผู้เล่นของสโตรค และคะแนนพาร์ , โฮล อิน วัน (หรือ “เอซ”) เกิดขึ้นเมื่อนักกอล์ฟ ตีลูกลงไปในหลุม กับการตีครั้งแรกของเขาจาก ที

นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะรู้ว่าคะแนนทั่วไปหรือคำเฉพาะของหลุม สิ่งเหล่านี้คือ :

• คอนดอร์ (-4 หรือ ต่ำกว่าพาร์ 4 สโตรค)
• อัลบาทรอส หรือ ดับเบิ้ล อีเกิล (-3 หรือ ต่ำกว่าพาร์ 3 สโตรค)
• อีเกิล (-2 หรือ ต่ำกว่าพาร์ 2 สโตรค)
• เบอร์ดี้ (-1 หรือ ต่ำกว่าพาร์ 1 สโตรค)
• พาร์ (สโตรคเท่ากับพาร์)
• โบกี (+1 หรือ มากกว่าพาร์ 1 สโตรค)
• ดับเบิลโบกี (+2 หรือ มากกว่าพาร์ 2 สโตรค)
• ทริปเปิลโบกี (+3 หรือ มากกว่าพาร์ 3 สโตรค)